บั้นปลายชีวิต อุปสมบทเป็นภิกษุ ของ อนาคาริก_ธรรมปาละ

ในปลายปี พ.ศ. 2475 (ตรงกับปีที่ไทยเปลี่ยนระบอบการปกครอง) ท่านธรรมปาละได้ล้มเจ็บหนักอีกครั้ง เมื่อพอสบายดีขึ้น ท่านรู้ว่าใกล้จักถึงวาระสุดท้ายของท่านแล้ว ท่านจึงได้คิดที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุเสียที จึงได้นิมนต์ พระเถระชั้นผู้ใหญ่จากลังกา 10 รูป มีท่านพระสิทธัตถะอนุนายกเถระ คณะสยามนิกาย วัดมัลวัตวิหาร เป็นประธาน และเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ทำการอุปสมบทท่านธรรมปาละ ได้รับภิกษุฉายาในทางศาสนาว่า "ภิกฺขุ ศรี เทวมิตฺร ธมฺมปาล"

เมื่อท่านได้อุปสมบท ก็ปรากฏว่าท่านได้มีกำลังกายกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นการ กลับคืนมาเหมือนกับเปลวเทียน ที่กำลังจะหมดไส้ ซึ่งจะสว่างได้ไม่นาน ดังนั้น ในเดือนเมษายน ของปี 2476 ท่านจึงได้ล้มเจ็บลงอีก โดยมีนาย เทพปริยะ วาลีสิงหะ ซึ่งเป็นทั้งศิษย์ และสหายของท่านได้คอยรักษาและดูแลอยู่

ตั้งปณิธานเผยแผ่พระพุทธศาสนาแม้ในวาระสุดท้าย

จนถึงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2476 (ประวัติบางแห่งว่า วันที่ 27) อาการโรคหัวใจ ของท่านเพียบหนักถึงที่สุด แต่ท่านก็ยังพอจะพูดได้บ้าง และสิ่งที่ท่านกล่าวย้ำบ่อยๆ ในขณะเวลา ที่เหลืออีกไม่นานก็คือ " ขอให้ข้าพเจ้าได้มรณะเร็วๆ เถิด แต่ข้าพเจ้าจักกลับมาเกิดใหม่อีก 25 ครั้ง เพื่อเผยแผ่ ประกาศพระธรรมของพระพุทธเจ้า "

และในเวลาเช้าของวันที่ 29 เมษายน ท่านแทบไม่รู้สึกตัวอะไรอีก พูดออกมาได้เพียงคำว่า "เทพปริยะ" ราวจะฝากฝังให้นายเทพปริยะ จับงานของสมาคมให้ดำเนินต่อไป เพราะพุทธคยายังไม่กลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ ของชาวพุทธ โดยสมบูรณ์ จนถึงบ่าย 2 โมง อุณหภูมิในตัวของท่านสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 104.6 ถึงที่สุดแล้ว ทุกคนที่อยู่รอบๆก็ทราบว่า ท่านกำลังจะมรณภาพ พระภิกษุสามเณรจากลังกาและอินเดียที่อยู่ที่นั่น ได้ล้อมรอบท่าน พร้อมกับ สวดพระพุทธมนต์ ไปเรื่อยๆ พอสิ้นเสียงสวด ....'วิญญาณของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ผู้เกิดมาเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนรวม และเชิดชูพระศาสนาของพระพุทธองค์ ก็ดับวูบลง ละร่างกาย อันเก่า คร่ำคร่าเกินเยียวยา เหลือเพียงใบหน้าอันยิ้มแย้มและเป็นสุขไว้เท่านั้น ในเวลา บ่าย 3 ของวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2476 นั่นเอง.......